รายงานผลการวิจัย
เรื่อง
วิชาที่นักเรียนชอบและไม่ชอบเรียนมากที่สุด
ของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล”
โดย
นายธนกฤต หริ่งโสภา เลขที่ 2
นายรุ่งตะวัน ประสพพร เลขที่ 4
นางสาวชลธิชา สลุงเสือ เลขที่ 6
นางสาวณัฐชา บุญมี เลขที่ 14
นางสาวศิโรธร ขอผลกลาง เลขที่ 15
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2
โรงเรียนบ้านหมอ “พัฒนานุกูล”
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556
ชื่อเรื่องการค้นคว้า วิชาที่นักเรียนชอบและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้าน หมอ “พัฒนานุกูล”
คณะผู้วิจัย นายธนกฤต หริ่งโสภา ,
นายรุ่งตะวัน ประสพพร ,
นางสาวชลธิชา
สลุงเสือ , นางสาวณัฐชา บุญมี ,
นางสาวศิโรธร ขอผลกลาง
แผนการเรียน วิทยาศาสตร์
– คณิตศาสตร์
อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์อัญชลี ปิ่นเกตุ ,
อาจารย์ภิรญา สายศิริสุข
ปีการศึกษา 2556
บทคัดย่อ
รายงานการค้นคว้าวิจัยครั้งนี้
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลของวิชาที่ชอบเรียนและ ไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียน
เพื่อศึกษาสาเหตุจากวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุด
และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ถึงสภาพปัญหาวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุด
ของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ “พัฒนานุกูล”
ผลการทดสอบจากสมมติฐานคือ สามารถศึกษาข้อมูลของวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียน
ได้ รู้ถึงสาเหตุและปัญหาจากวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล” สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาแนวทางการแก้ปัญหาความสำคัญของวิชานั้นๆ
กิตติกรรมประกาศ
รายงานการวิจัยเรื่องวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล” จัดทำขึ้นเพื่อทราบถึงข้อมูลและนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา
ฉบับนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี ด้วยความอนุเคราะห์อย่างดียิ่งจาก อาจารย์สุกัญญา สราญจิตร์ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
อาจารย์อัญชลี ปิ่นเกตุ และอาจารย์ภิรญา สายศิริสุข
ที่ปรึกษาวิชาการสื่อสารและการนำเสนอ (IS2) ที่ได้กรุณาให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ และแก้ไขข้อบกพร่อง อย่างใกล้ชิดตลอดมา
นับตั้งแต่ต้นจนสำเร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ คณะผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา
ณ ที่นี้ด้วย
ขอขอบคุณผู้ที่ตอบแบบสอบถามทุกท่าน
ที่ได้ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถามที่เป็นประโยชน์ต่อการทำวิจัยครั้งนี้
เป็นอย่างดี
คณะผู้วิจัย
20 กุมภาพันธ์ 2557
บทที่1
บทนำ
หลักการและเหตุผล
การศึกษาของเด็กไทยนับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เพื่อให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับและพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้า
ทัดเทียมกับประเทศต่างๆในโลก แต่ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กไทยในแต่ละปี
ผลการเรียนเฉลี่ยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
ซึ่งปัญหาการเรียนของเด็กเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง อาทิเช่น สภาพแวดล้อมทางสังคมที่เกิดความเปลี่ยนแปลงไปมาก
สภาพแวดล้อมการเลี้ยงดูทั้งที่บ้านและโรงเรียน ปัญหาจากตัวเด็กนักเรียน
ซึ่งอาจเกิดจากพฤติกรรมความก้าวร้าวรุนแรง ปัญหาจากครอบครัว ที่มีฐานะทางบ้านยากจน
และปัญหาจากโรงเรียน ซึ่งมีสาเหตุมาจาก สติปัญญาของเด็กนักเรียนในวัยเดียวกัน
การแข่งขันทางการเรียน
แรงจูงใจจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หรือแม้กระทั่งวิชาที่เด็กได้เรียน
ซึ่งมีความยากง่ายต่อเด็กนักเรียน
ในปัจจุบัน
เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ “พัฒนานุกูล” มีผลการเรียนที่ต่ำ
ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากวิชาที่ได้เรียน อาจเป็นเพราะไม่เข้าใจในวิชาที่เรียน ,
ครูสอนไม่เข้าใจ , ไม่ชอบในวิชาที่เรียน หรือเหตุผลอื่นๆ หลายประการ ซึ่งคณะผู้วิจัยเล็งเห็นความสำคัญของเรื่องนี้จึงได้จัดทำงานวิจัยเรื่องวิชาที่นักเรียนชอบและไม่ชอบเรียนมากที่สุด
ของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ “พัฒนานุกูล” เพื่อศึกษาหาข้อมูลและสาเหตุของวิชาที่นักเรียนของโรงเรียนบ้านหมอ“พัฒนานุกูล”
ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดเพื่อนำมาปรับหรือแก้ไขปัญหาในวิชานั้นๆเพื่อให้นักเรียนหันมาสนใจการเรียนมากยิ่งขึ้นหรือในกรณีที่สนใจเรียนอยู่แล้วให้สนใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เป้าหมาย/วัตถุประสงค์
1.เพื่อศึกษาข้อมูลของวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล”
2.เพื่อศึกษาสาเหตุจากวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล”
3.เพื่อนำข้อมูลที่ได้ มาวิเคราะห์ถึงสภาพปัญหาวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล”
สมมุติฐานของงานวิจัย
1.มีความรู้เรื่องข้อมูลของวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล”
2.รู้ถึงสาเหตุของวิชาที่นักเรียน
ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุด
3.สามารถหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา
สาเหตุของวิชาที่นักเรียนชอบและไม่ชอบเรียนมากที่สุด
ขอบเขตของงานวิจัย
คณะวิจัยได้กำหนดขอบเขตของงานวิจัยได้ดังนี้
1.ขอบเขตด้านประชากร
นักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ”พัฒนานุกูล”
กลุ่มตัวอย่างนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ม.1- ม.6 ช่วงชั้นละ20คน รวมทั้งหมด 120 คน ของโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล” อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี
2.ขอบเขตด้านเนื้อหา
ในการวิจัยเรื่อง วิชาที่นักเรียนชอบและไม่ชอบเรียนมากที่สุด
ของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ “พัฒนานุกูล” ได้กำหนดขอบเขตเนื้อหาดังนี้
-ปัญหาและสาเหตุของวิชาที่นักเรียนชอบเรียนและไม่ชอบเรียน
-วิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาวิชาที่นักเรียนไม่ชอบเรียน
-ผลกระทบอาจทำให้ผลการเรียนที่นักเรียนไม่ชอบเรียนแย่ลง
งบประมาณ
งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินงานวิจัยประมาณ
250 บาท (ค่าพิมพ์งาน ทำปกรายงาน พิมพ์รายงาน)
ระยะเวลา
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 ระหว่าง เดือนพฤศจิกายน 2556 - กุมภาพันธ์ 2557
นิยามศัพท์เฉพาะ
1.นักเรียน
หมายถึง ผู้ที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนบ้านหมอ “พัฒนานุกูล” อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี
2. วิชา
หมายถึง ความรู้ , ความรู้ที่ได้ด้วยการเล่าเรียนหรือฝึกฝนในโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล” อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี
3.
การเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ของเด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ “พัฒนานุกูล” อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี
4.วิชาที่ชอบเรียน หมายถึง วิชาที่เรียนแล้วมีความสนใจในชั่วโมงที่เรียน
5.วิชาที่ไม่ชอบเรียน หมายถึง วิชาที่เรียนแล้วมีความเบื่อที่จะเรียนวิชานั้น
4.วิชาที่ชอบเรียน หมายถึง วิชาที่เรียนแล้วมีความสนใจในชั่วโมงที่เรียน
5.วิชาที่ไม่ชอบเรียน หมายถึง วิชาที่เรียนแล้วมีความเบื่อที่จะเรียนวิชานั้น
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย
1)
ทำให้ทราบข้อมูลพื้นฐานในภาพรวมเกี่ยวกับประเด็นในการทำวิจัยที่ใช้ในการแก้ปัญหา กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการทำวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
และข้อค้นพบในการวิจัยชั้นเรียน
2)
ได้ข้อมูลมาเป็นแนวทางการปรับการเรียนการสอนกระบวนวิชาการวิจัยชั้นเรียนให้แก่ผู้สอนในกระบวนวิชาดังกล่าวให้ดีขึ้น
3) ได้ข้อมูลมาวิเคราะห์ถึงปัญหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา
สาเหตุของวิชาที่นักเรียนชอบและไม่ชอบเรียนมากที่สุด อย่างแท้จริง
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ในงานวิจัยเรื่อง วิชาที่นักเรียนชอบและไม่ชอบเรียนมากที่สุด
ผู้วิจัยได้รวบรวมแนวคิดทฤษฎีและหลักการต่างๆจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ดังต่อไปนี้
นักเรียน ผู้เรียน นิสิต หรือ นักศึกษา ในความหมายโดยรวมคือผู้ที่เข้าเรียนในสถานศึกษา โดยแบ่งออกเป็น
1. นักเรียน หมายถึง ผู้เรียนในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย
ในประเทศไทยมีกฎหมายให้บุคคลทุกคนต้องจบการศึกษาขั้นต่ำในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 (หลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ)
ที่มา: http://th.wikipedia.org/
ความรู้“ความรู้คือสิ่งที่ทำให้คนเข้าใจ
แล้วนำความเข้าใจนั้นมาปฏิบัติหรือประยุกต์ให้เกิดประโยชน์”
ที่มา: ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม, ความรู้ท้องถิ่น
การจัดการองค์ความรู้ กับการจัดการทางสังคม
“ความรู้คือ
สิ่งที่มนุษย์สร้าง ผลิต ความคิด ความเชื่อ ความจริง ความหมาย โดยใช้ ข้อเท็จจริง
ข้อคิดเห็น ตรรกะ แสดงผ่านภาษา เครื่องหมาย และสื่อต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์เป็นไปตามผู้สร้าง
ผู้ผลิตจะให้ความหมาย”
ทฤษฎีการเรียนรู้ (อังกฤษ: learning
theory) การเรียนรู้คือกระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส
การอ่าน การใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน
เด็กจะเรียนรู้ด้วยการเรียนในห้อง การซักถาม
ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่
แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผู้สอนนำเสนอ โดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน
ผู้สอนจะเป็นผู้ที่สร้างบรรยากาศทางจิตวิทยาที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้
ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดก็ได้เช่น ความเป็นกันเอง ความเข้มงวดกวดขัน
หรือความไม่มีระเบียบวินัย สิ่งเหล่านี้ผู้สอนจะเป็นผู้สร้างเงื่อนไข
และสถานการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียน ดังนั้น ผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกรูปแบบการสอน
รวมทั้งการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน
การเรียนรู้ตามทฤษฎีของ Bloom (Bloom's Taxonomy)ได้แบ่งการเรียนรู้เป็น 6 ระดับ
1.ความรู้ที่เกิดจากความจำ
(knowledge) ซึ่งเป็นระดับล่างสุด
2.ความเข้าใจ
(Comprehend)
3.การประยุกต์
(Application)
4.การวิเคราะห์
(Analysis) สามารถแก้ปัญหา ตรวจสอบได้
5.การสังเคราะห์
(Synthesis) สามารถนำส่วนต่างๆ
มาประกอบเป็นรูปแบบใหม่ได้ให้
แตกต่างจากรูปเดิม
เน้นโครงสร้างใหม่
6.การประเมินค่า
(Evaluation) วัดได้ และตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิด
ประกอบการ
ตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและเกณฑ์ที่แน่ชัด
การเรียนรู้ตามทฤษฎีของเมเยอร์ (Mayor) ในการออกแบบสื่อการเรียนการสอน
การวิเคราะห์ความจำเป็นเป็นสิ่งสำคัญ
และตามด้วยจุดประสงค์ของการเรียน โดยแบ่งออกเป็นย่อยๆ 3 ส่วนด้วยกัน
1.พฤติกรรม ควรชี้ชัดและสังเกตได้
2.เงื่อนไข
พฤติกรรมสำเร็จได้ควรมีเงื่อนไขในการช่วยเหลือ
3.มาตรฐาน
พฤติกรรมที่ได้นั้นสามารถอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด
การเรียนรู้ตามทฤษฎีของบรูเนอร์ (Bruner)
1.ความรู้ถูกสร้างหรือหล่อหลอมโดยประสบการณ์
2.ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบในการเรียน
3.ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความหมายขึ้นมาจากแง่มุมต่างๆ
4.ผู้เรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง
5.ผู้เรียนเลือกเนื้อหาและกิจกรรมเอง
6.เนื้อหาควรถูกสร้างในภาพรวม
การเรียนรู้ตามทฤษฎีของไทเลอร์ (Tylor)ความต่อเนื่อง
(continuity) หมายถึง ในวิชาทักษะ ต้องเปิดโอกาสให้มีการฝึกทักษะในกิจกรรมและประสบการณ์บ่อยๆ
และต่อเนื่องกันการจัดช่วงลำดับ (sequence) หมายถึง
หรือการจัดสิ่งที่มีความง่าย ไปสู่สิ่งที่มีความยาก
ดังนั้นการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ ให้มีการเรียงลำดับก่อนหลัง
เพื่อให้ได้เรียนเนื้อหาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นบูรณาการ (integration) หมายถึง
การจัดประสบการณ์จึงควรเป็นในลักษณะที่ช่วยให้ผู้เรียน
ได้เพิ่มพูนความคิดเห็นและได้แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกัน
เนื้อหาที่เรียนเป็นการเพิ่มความสามารถทั้งหมด
ของผู้เรียนที่จะได้ใช้ประสบการณ์ได้ในสถานการณ์ต่างๆ กัน ประสบการณ์การเรียนรู้
จึงเป็นแบบแผนของปฏิสัมพันธ์ (interaction) ระหว่างผู้เรียนกับสถานการณ์ที่แวดล้อม
ทฤษฎีการเรียนรู้ 8 ขั้น ของกาเย่ (Gagne)
1.การจูงใจ (Motivation Phase) การคาดหวังของผู้เรียนเป็นแรงจูงใจในการเรียนรู้
2.การรับรู้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (Apprehending Phase) ผู้เรียนจะรับรู้สิ่งที่สอดคล้องกับความตั้งใจ
3.การปรุงแต่งสิ่งที่รับรู้ไว้เป็นความจำ (Acquisition Phase) เพื่อให้เกิดความจำระยะสั้นและระยะยาว
4.ความสามารถในการจำ (Retention Phase)
5.ความสามารถในการระลึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว
(Recall Phase )
6.การนำไปประยุกต์ใช้กับสิ่งที่เรียนรู้ไปแล้ว (Generalization Phase)
7.การแสดงออกพฤติกรรมที่เรียนรู้ ( Performance Phase)
8.การแสดงผลการเรียนรู้กลับไปยังผู้เรียน ( Feedback Phase) ผู้เรียนได้รับทราบผลเร็วจะทำให้มีผลดีและประสิทธิภาพสูง
องค์ประกอบที่สำคัญที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ จากแนวคิดนักการศึกษา
กาเย่ (Gagne)
1.ผู้เรียน (Learner)
มีระบบสัมผัสและ
ระบบประสาทในการรับรู้
2.สิ่งเร้า (Stimulus)
คือ
สถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นสิ่งเร้าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
3.การตอบสนอง (Response)
คือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้
การสอนด้วยสื่อตามแนวคิดของกาเย่ (Gagne)เร้าความสนใจ
มีโปรแกรมที่กระตุ้นความสนใจของผู้เรียน เช่น ใช้ การ์ตูน หรือ
กราฟิกที่ดึงดูดสายตาความอยากรู้อยากเห็นจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนสนใจในบทเรียน
การตั้งคำถามก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งบอกวัตถุประสงค์ ผู้เรียนควรทราบถึงวัตถุประสงค์
ให้ผู้เรียนสนใจในบทเรียนเพื่อให้ทราบว่าบทเรียนเกี่ยวกับอะไรกระตุ้นความจำผู้เรียน
สร้างความสัมพันธ์ในการโยงข้อมูลกับความรู้ที่มีอยู่ก่อน
เพราะสิ่งนี้สามารถทำให้เกิดความทรงจำในระยะยาวได้เมื่อได้โยงถึงประสบการณ์ผู้เรียน
โดยการตั้งคำถาม เกี่ยวกับแนวคิด หรือเนื้อหานั้นๆเสนอเนื้อหา
ขั้นตอนนี้จะเป็นการอธิบายเนื้อหาให้กับผู้เรียน โดยใช้สื่อชนิดต่างๆ ในรูป กราฟิก
หรือ เสียง วิดีโอการยกตัวอย่าง การยกตัวอย่างสามารถทำได้โดยยกกรณีศึกษา
การเปรียบเทียบ เพื่อให้เข้าใจได้ซาบซึ้งการฝึกปฏิบัติ
เพื่อให้เกิดทักษะหรือพฤติกรรม เป็นการวัดความเข้าใจว่าผู้เรียนได้เรียนถูกต้อง
เพื่อให้เกิดการอธิบายซ้ำเมื่อรับสิ่งที่ผิดการให้คำแนะนำเพิ่มเติม เช่น
การทำแบบฝึกหัด โดยมีคำแนะนำการสอบ
เพื่อวัดระดับความเข้าใจการนำไปใช้กับงานที่ทำในการทำสื่อควรมี เนื้อหาเพิ่มเติม
หรือหัวข้อต่างๆ ที่ควรจะรู้เพิ่มเติม
4.วิชา หมายถึง
ความรู้ ,ความรู้ที่ได้ด้วยการเล่าเรียนหรือฝึกฝนบางครั้งอาจหมายถึง ความรู้ความสามารถของบุคคลหนึ่งที่สามารถถ่ายทอดไปให้ผู้อื่นได้
โดยไม่จำเป็นต้องสอนในห้องเรียน
ผู้เรียนจะต้องศึกษาเรียนรู้เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในวิชานั้นๆ
ฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ แล้วสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ แบ่งออกได้กลุ่มสาระการเรียนรู้8 กลุ่ม ดังนี้
1.กลุ่มสาระเรียนรู้ภาษาไทย
2.กลุ่มสาระเรียนรู้คณิตศาสตร์
3.กลุ่มสาระเรียนรู้วิทยาศาสตร์
4.กลุ่มสาระเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
5.กลุ่มสาระเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
6.กลุ่มสาระเรียนรู้ศิลปะ
7.กลุ่มสาระเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
8.กลุ่มสาระเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
กลุ่มสาระเรียนรู้วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ หมายถึง
ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆในธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต
รวมทั้งกระบวนการประมวลความรู้เชิงประจักษ์ ที่เรียกว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์
และกลุ่มขององค์ความรู้ที่ได้จากกระบวนการดังกล่าวการศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์ยังถูกแบ่งย่อยออกเป็น
วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และ วิทยาศาสตร์ประยุกต์คำว่า science
ในภาษาอังกฤษ
ซึ่งแปลว่า วิทยาศาสตร์นั้น มาจากภาษาลาติน คำว่า scientiaซึ่งหมายความว่า
ความรู้เช่นวิทยาศาสตร์ เรียนในระดับชั้นมัธยมตอนต้น ส่วนฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา
เรียนในระดับชั้นมัธยมตอนปลาย
ที่มา:http://th.wikipedia.org/wiki/วิทยาศาสตร์
กลุ่มสาระเรียนรู้คณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์
หมายถึง (การนับ หรือ คำนวณ) และ ศาสตร์
(ความรู้ หรือ การศึกษา) ซึ่งรวมกันมีความหมายโดยทั่วไปว่า
การศึกษาเกี่ยวกับการคำนวณ หรือ วิชาที่เกี่ยวกับการคำนวณ.
กลุ่มสาระเรียนรู้ศิลปะ
ประกอบด้วย ศิลปะและนาฏศิลป์เรียนในระดับชั้นมัธยมตอนต้น
และในระดับชั้นมัธยมตอนปลาย
ศิลปะ หมายถึง
เป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวมนุษย์เป็นสิ่งที่ให้คุณค่ามหาศาลทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
ศิลปะที่ให้คุณค่าทางร่างกายเป็นศิลปะที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิต ประจำวันของมนุษย์เป็นสิ่งที่มนุษย์พบเห็นเข้าใจและเห็นคุณค่าคุณประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม
แต่ศิลปะที่ให้คุณค่าทางจิตใจเป็นงานศิลปะที่มีคุณค่าในการพัฒนา
มนุษย์ให้มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
นาฏศิลป์ ความหมาย คือ ศิลปะการเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายอย่างประณีต
อ่อนช้อยจนเกิดความงดงามวิจิตรบรรจง
กลุ่มสาระเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเรียนในระดับชั้นมัธยมตอนต้นและในระดับชั้นมัธยมตอนปลาย
ภาษาอังกฤษหมายถึงที่บางครั้งมีผู้อธิบายว่าเป็นภาษากลางภาษาแรกของโลกเป็นภาษาที่ใช้กันมากที่สุดหรือในบางกรณี
เป็นภาษาระหว่างประเทศที่ต้องใช้ในการสื่อสารเรียนในระดับชั้นมัธยมตอนต้น
และในระดับชั้นมัธยมตอนปลาย
ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/
กลุ่มสาระเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ประกอบด้วย
วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ และการงานอาชีพเรียนในระดับชั้นมัธยมตอนต้น และในระดับชั้นมัธยมตอนปลาย
เทคโนโลยี
หมายถึง วิทยาการที่เกี่ยวกับศิลปะในการนำเอาวิทยาศาสตร์ประยุกต์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติและอุตสาหกรรม"
กลุ่มสาระเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
ประกอบด้วย สุขศึกษา และพลศึกษา เรียนในระดับชั้นมัธยมตอนต้น
และในระดับชั้นมัธยมตอนปลาย
สุขศึกษา หมายถึง ให้ผู้เรียนพัฒนาพฤติกรรมด้านความรู้
เจตคติ คุณธรรม ค่านิยม
และ การปฏิบัติเกี่ยวกับสุขภาพควบคู่ไปด้วยกัน
พลศึกษา หมายถึง ให้ผู้เรียนใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย การเล่นเกมและกีฬา เป็นเครื่องมือในการพัฒนาโดยรวมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ
อารมณ์ สังคม สติปัญญา
รวมทั้งสมรรถภาพเพื่อสุขภาพและกีฬา
ที่มา: www2.triamudom.ac.th/index.php?option=com
กลุ่มสาระเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนา และวัฒนธรรมเรียนในระดับชั้นมัธยมตอนต้น และในระดับชั้นมัธยมตอนปลาย
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หมายถึง แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา
ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรมองพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ
การนําหลักธรรมคําสอนไปปฏิบัติในการพัฒนาตนเอง และการอยูรวมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระทําความดี มีค่านิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยูเสมอ รวมทั้งบําเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม
กลุ่มสาระเรียนรู้ภาษาไทยเรียนในระดับชั้นมัธยมตอนต้น
และในระดับชั้นมัธยมตอนปลาย
ภาษาไทย หมายถึง มีความสำคัญต่อระบบการสื่อสารหรือสื่อความหมายในชีวิตจริง
เริ่มด้วยการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ถึงทักษะ ความจำเป็นของธรรมชาติสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
คือ ทักษะการฟัง ทักษะการดู
ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน ทักษะการพูด การจัดกระบวนการเรียนรู้ จึงมีความจำเป็นมากที่จะให้ผู้เรียนมีทักษะต่างๆ
ดังกล่าวมา อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ
ที่มา: https://sites.google.com/site/pasathaija/khwam-sakhay-khxng-klum-sara-kar-reiyn-ru-phasa-thiy
5.วิชาที่ชอบเรียน หมายถึง
วิชาที่เรียนแล้วมีความสนใจในชั่วโมงที่เรียน
6.วิชาที่ไม่ชอบเรียน หมายถึง
วิชาที่เรียนแล้วมีความเบื่อที่จะเรียนวิชานั้น
ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/
บทที่ 3
วิธีการดำเนินงาน
3.1 กลุ่มประชากร
นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ม.1- ม.6 ช่วงชั้นละ 20 คน รวมทั้งหมด 120 คน ของโรงเรียนบ้านหมอ “พัฒนานุกูล” ตำบลบ้านหมอ อำเภอบ้านหมอ
จังหวัดสระบุรี
3.2 เครื่องมือที่ใช้
3.2.1แบบสอบถาม
แบบสำรวจ วิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล” แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของนักเรียนสามารถศึกษาได้จากส่วนต่างๆดังนี้
เพศ
และระดับการชั้นการศึกษา
ส่วนที่ 2
วิชาที่ชอบมากที่สุดและเหตุผลชอบเรียนเพราะอะไรเป็นคำถามปลายเปิดและปลายปิด
เหตุผลชอบเรียนเพราะอะไร
ประกอบด้วย ครูสอนเข้าใจง่าย บรรยากาศในห้องเหมาะสม มีกิจกรรมให้ทำในชั่วโมง
ส่วนที่ 3
วิชาที่ไม่ชอบเรียนมากที่สุดและเหตุผลไม่ชอบเรียนเพราะอะไร เป็นคำถามปลายเปิดและปลายปิด
เหตุผลไม่ชอบเรียนเพราะอะไร
ประกอบด้วย ครูสอนไม่เข้าใจ เรียนไม่รู้เรื่อง บรรยากาศในห้องเรียนไม่เหมาะสม
มีการบ้านจำนวนมาก
สรุปผลการสำรวจ 3
อันดับวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดในแต่ละระดับชั้น
ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1
ชอบเรียน ไม่ชอบเรียน
1.พละศึกษา 1.ภาษาอังกฤษ
2.ภาษาไทย 2.คอมพิวเตอร์
3.สังคมศึกษา 3.คณิตศาสตร์
ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2
ชอบเรียน ไม่ชอบเรียน
1.ภาษาอังกฤษ 1.คณิตศาสตร์
2.ศิลปะ 2.การงานอาชีพ
3.สังคมศึกษา 3.วิทยาศาสตร์
ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3
ชอบเรียน ไม่ชอบเรียน
1.ภาษาไทย 1.ภาษาอังกฤษ
2.พละศึกษา 2.คณิตศาสตร์
3.วิทยาศาสตร์ 3.การงานอาชีพ
ฯลฯ
ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4
ชอบเรียน ไม่ชอบเรียน
1.คณิตศาสตร์ 1.ภาษาอังกฤษ
2.พละศึกษา 2.สังคมศึกษา
3.วิทยาศาสตร์ 3.ภาษาไทย
ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5
ชอบเรียน ไม่ชอบเรียน
1.พละศึกษา 1.ภาษาอังกฤษ
2.คณิตศาสตร์ 2.คอมพิวเตอร์
3.ศิลปะ 3.เคมี
ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6
ชอบเรียน ไม่ชอบเรียน
1.คณิตศาสตร์ 1.ภาษาอังกฤษ
2.ภาษาไทย 2.เคมี
3.ศิลปะ 3.สังคมศึกษา
3.2.2 คอมพิวเตอร์
3.2.3 เครื่องพิมพ์
3.2.4 กระดาษ A4 (ประมาณ 60 แผ่น)
3.ขั้นตอนดำเนินการ
3.1.วิเคราะห์ข้อมูล
-วางโครงร่าง
-วางกลุ่มเป้าหมาย
-สำรวจกลุ่มเป้าหมาย
3.2.เขียนรายงาน
-พิมพ์งานตามโครงร่างที่วางไว้
3.3.ขั้นตอนการทำงาน
-พิมพ์รายงาน
-สอบถามกลุ่มเป้าหมาย
-นำผลงานมาเรียบเรียง
3.4.เผยแพร่งาน
3.4 สูตรที่ใช้ในการคำนวณ
1.สูตรค่าเฉลี่ยเลขคณิต
ใช้สูตร ดังนี้ (http://www.stvc.ac.th/elearning/stat/csu2.html)
เมื่อ X
แทน ค่าเฉลี่ย
SX แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดของกลุ่ม
n แทน จำนวนของคะแนนในกลุ่ม
ตารางสรุปผล ของเหตุผลวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ “พัฒนานุกูล”
ส่วนที่ชอบ
>0.8 ชอบมาก
0.31-0.79
ชอบ
<0.3 ไม่ชอบ
ส่วนที่ไม่ชอบ
>0.8 ไม่ชอบมาก
0.31-0.79 ไม่ชอบ
<0.3 ชอบ
2.สูตรค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สูตร
ดังนี้(http://reg.ksu.ac.th/teacher/kanlaya/3.9.html)
เมื่อ S.D. คือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
X1 คือ ข้อมูล (i
= 1,2,3…N)
N คือ จำนวนข้อมูลทั้งหมด
3.สูตรการหาร้อยละ
ใช้สูตร ดังนี้(www.avc.ac.th/files/1102260990759_12020342.doc)
เมื่อ P แทน ร้อยละ
F แทน ความถี่ที่ต้องการแปลค่าให้เป็นร้อยละ
n แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด
บทที่ 4
ผลดำเนินการวิจัย
ผลการดำเนินการวิจัยเรื่องวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล” มีดังนี้
4.1 วิเคราะห์ข้อมูล
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
วิชาที่ชอบ
วิชาที่ไม่ชอบ
ในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
วิชาที่นักเรียนชอบลำดับที่ 1 คือ พละศึกษามี
จำนวน 25% ลำดับที่ 2 คือ ภาษาไทยจำนวน 15% และลำดับที่ 3 คือ สังคมศึกษาจำนวน 10% และวิชาที่นักเรียนไม่ชอบ
ลำดับที่ 1 คือ ภาษาอังกฤษจำนวน 30% ลำดับที่ 2 คือ
คอมพิวเตอร์จำนวน 20% และลำดับที่ 3 คือ คณิตศาสตร์จำนวน 15% จากการสำรวจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 20 คน
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
วิชาที่ชอบ
วิชาที่ไม่ชอบ
ในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
วิชาที่นักเรียนชอบลำดับที่ 1 คือ ภาษาอังกฤษมีจำนวน 20% ลำดับที่ 2 คือ ศิลปะจำนวน 15%
และลำดับที่ 3 คือ สังคมศึกษาจำนวน 15% และวิชาที่นักเรียนไม่ชอบ ลำดับที่ 1
คือ คณิตศาสตร์จำนวน 35% ลำดับที่ 2 คือ การงานอาชีพจำนวน 25%และลำดับที่ 3 คือ วิทยาศาสตร์จำนวน 15%
จากการสำรวจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 20 คน
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
วิชาที่ชอบ
วิชาที่ไม่ชอบ
ในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
วิชาที่นักเรียนชอบลำดับที่ 1 คือ ภาษาไทยมีจำนวน 30% ลำดับที่ 2 คือ พละศึกษาจำนวน 30% และลำดับที่ 3
คือ วิทยาศาสตร์จำนวน 15% และวิชาที่นักเรียนไม่ชอบ ลำดับที่
1 คือ ภาษาอังกฤษจำนวน 45% ลำดับที่ 2 คือ คณิตศาสตร์จำนวน
25% และลำดับที่ 3 คือ การงานอาชีพจำนวน 10% จากการสำรวจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 20 คน
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
วิชาที่ชอบ
วิชาที่ไม่ชอบ
ในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
4 วิชาที่นักเรียนชอบลำดับที่ 1 คือ คณิตศาสตร์มีจำนวน 25% ลำดับที่ 2 คือ พละศึกษาจำนวน 20% และลำดับที่ 3 คือ วิทยาศาสตร์จำนวน 15% และวิชาที่นักเรียนไม่ชอบ
ลำดับที่ 1 คือ ภาษาอังกฤษจำนวน 35% ลำดับที่ 2 คือ
สังคมศึกษาจำนวน 10%และลำดับที่ 3 คือ ภาษาไทยจำนวน 10% จากการสำรวจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 20 คน
|
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
วิชาที่ชอบ
วิชาที่ไม่ชอบ
ในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
วิชาที่นักเรียนชอบลำดับที่ 1 คือ พละศึกษามี จำนวน 35% ลำดับที่ 2 คือ คณิตศาสตร์จำนวน 30% และลำดับที่ 3
คือศิลปะจำนวน 15% และ วิชาที่นักเรียนไม่ชอบ
ลำดับที่ 1 คือ ภาษาอังกฤษจำนวน 35% ลำดับที่ 2 คือ คอมพิวเตอร์จำนวน
15% และลำดับที่ 3 คือ เคมีจำนวน 10%
จากการสำรวจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 20 คน
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
วิชาที่ชอบ
วิชาที่ไม่ชอบ
ในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
วิชาที่นักเรียนชอบลำดับที่ 1 คือ คณิตศาสตร์มีจำนวน 25% ลำดับที่ 2 คือภาษาไทยจำนวน 25%
และลำดับที่ 3 คือศิลปะจำนวน 15% และ วิชาที่นักเรียนไม่ชอบ ลำดับที่ 1 คือ
ภาษาอังกฤษจำนวน 35% ลำดับที่ 2 คือ เคมีจำนวน 15% และลำดับที่ 3 คือ สังคมศึกษาจำนวน 10%
จากการสำรวจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 20 คน
สูตรที่ใช้ในการหาค่าวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมีดังนี้
P = จำนวนนักเรียน x 100
20
เมื่อ P แทน ร้อยละ
สรุปผลการสำรวจ เหตุผลวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนของนักเรียนโรงเรียน
บ้านหมอ “พัฒนานุกูล”
เหตุผลวิชาที่ชอบเรียนมากที่สุด สรุปได้ว่า
ครูสอนเข้าใจง่าย เป็นกันเอง
มีนักเรียนที่เลือกมากจำนวน
111 คน จากนักเรียนทั้งหมด 120 คน
เหตุผลวิชาที่ไม่ชอบเรียนมากที่สุด สรุปได้ว่า เรียนไม่รู้เรื่อง มีนักเรียนที่เลือกมากจำนวน 83 คน จากนักเรียนทั้งหมด 120
คน
บทที่ 5
สรุปผล อภิปรายและข้อเสนอแนะ
การวิจัยเรื่องนี้เป็นการวิจัยที่เกี่ยวกับวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุด
ของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ “ พัฒนานุกูล” จำนวน 120 คน มีสาระสำคัญที่สรุปและอภิปรายผล รวมทั้งข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหา
ดังนี้
5.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.เพื่อศึกษาข้อมูลของวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล”
2.เพื่อศึกษาสาเหตุจากวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล”
3.เพื่อนำข้อมูลที่ได้ มาวิเคราะห์ถึงสภาพปัญหาวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล”
5.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรคือ
นักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ”พัฒนานุกูล”
กลุ่มตัวอย่างคือ
นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ม.4-ม.6 ช่วงชั้นละ20คน
ของโรงเรียนบ้านหมอ “พัฒนานุกูล” อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี
5.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
5.3.1แบบสอบถาม
แบบสำรวจ วิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล” แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1
ข้อมูลทั่วไปของนักเรียนสามารถศึกษาได้จากส่วนต่างๆดังนี้
เพศ และระดับการชั้นการศึกษา
ส่วนที่ 2
วิชาที่ชอบมากที่สุดและเหตุผลชอบเรียนเพราะอะไรเป็นคำถามปลายเปิดและปลายปิด
เหตุผลชอบเรียนเพราะอะไร ประกอบด้วย ครูสอนเข้าใจง่าย
บรรยากาศในห้องเหมาะสม มีกิจกรรมให้ทำในชั่วโมง
ส่วนที่ 3
วิชาที่ไม่ชอบเรียนมากที่สุดและเหตุผลไม่ชอบเรียนเพราะอะไร เป็นคำถามปลายเปิดและปลายปิด
เหตุผลไม่ชอบเรียนเพราะอะไร ประกอบด้วย ครูสอนไม่เข้าใจ
เรียนไม่รู้เรื่อง บรรยากาศในห้องเรียนไม่เหมาะสม มีการบ้านจำนวนมาก
5.3.2 คอมพิวเตอร์
5.3.3 เครื่องพิมพ์
5.3.4 กระดาษ A4ประมาณ60 แผ่น
5.4 การดำเนินงานวิจัย
สำรวจความคิดเห็นจากนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายของโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล” ด้วยแบบสอบถามความคิดเห็นวิชาที่นักเรียนชอบและไม่ชอบเรียน
ที่ใช้สอบถาม จำนวน 7 ข้อ
เป็นแบบสอบถามปลายปิดและปลายเปิด เกณฑ์การให้คะแนนแบ่งออกได้ดังนี้
เหตุผลที่ชอบเรียน
ไม่ใช่ 0 คะแนน
ใช่ 1 คะแนน
เหตุผลที่ไม่ชอบ
ไม่ใช่ 0 คะแนน
ใช่ 1 คะแนน
5.5 การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลในการรายงาน
ผู้วิจัยวิเคราะห์โดยการหาค่าสถิติได้แก่
1.การหาร้อยละ คำนวณจากสูตร (www.avc.ac.th/files/1102260990759_120290442.doc)
2.การหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต คำนวณจากสูตร(http://www.stvc.ac.th/elearning/stat/csu2.html)
3.ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คำนวณจาก(http://reg.ksu.ac.th/teacher/kanlaya/3.9.html)
5.6 สรุปผลการวิจัย
ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็น
จากการสำรวจความคิดเห็นในเรื่อง
วิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ “พัฒนานุกูล” แบ่งผลสำรวจออกเป็น
2 กลุ่ม ดังนี้
1. จากการสำรวจความคิดเห็นนักเรียนวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุด
พบว่าจากการสำรวจความคิดเห็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ชอบวิชาพละ มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 25 และไม่ชอบวิชาภาษาอังกฤษมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 30 นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ชอบวิชาภาษาอังกฤษ
มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 20 และไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 35 นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ชอบวิชา
ภาษาไทยมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 25 และไม่ชอบวิชาภาษาอังกฤษมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 45 นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ชอบวิชา คณิตศาสตร์มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 25 และไม่ชอบวิชาภาษาอังกฤษมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ
35 นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ชอบวิชาพละศึกษามากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 35 และไม่ชอบวิชาภาษาอังกฤษมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ
35 นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ชอบวิชาคณิตศาสตร์มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 25 และไม่ชอบวิชาภาษาอังกฤษมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ
35
2.
จากการสำรวจความคิดเห็นนักเรียนสาเหตุวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุด
พบว่าจากการสำรวจความคิดเห็นนักเรียนเหตุผลวิชาที่ชอบเรียนมากที่สุด
ได้ดังนี้
สรุปได้ว่าเหตุผลที่ 1 มีนักเรียนเลือกจำนวน 111 คน คิดค่าเฉลี่ยได้ 0.93 คิดค่า SD ได้ 0.26 ผลที่ได้ ชอบมาก
เหตุผลที่ 2 มีนักเรียนเลือกจำนวน 108 คน คิดค่าเฉลี่ยได้ 0.90 คิดค่า SD ได้ 0.30 ผลที่ได้ ชอบมาก
เหตุผลที่ 3 มีนักเรียนเลือกจำนวน 105 คน คิดค่าเฉลี่ยได้ 0.88 คิดค่า SD ได้ 0.33 ผลที่ได้ ชอบมาก
พบว่าจากการสำรวจความคิดเห็นนักเรียนเหตุผลวิชาที่ไม่ชอบเรียนมากที่สุด
ได้ดังนี้
สรุปได้ว่าเหตุผลที่ 1 มีนักเรียนเลือกจำนวน 68 คน คิดค่าเฉลี่ยได้ 0.43 คิดค่า SD ได้ 0.50 ผลที่ได้ ไม่ชอบ
เหตุผลที่ 2 มีนักเรียนเลือกจำนวน 83 คน คิดค่าเฉลี่ยได้ 0.31 คิดค่า SD ได้ 0.46 ผลที่ได้ ไม่ชอบ
เหตุผลที่
3 มีนักเรียนเลือกจำนวน 49 คน
คิดค่าเฉลี่ยได้ 0.59 คิดค่า SD ได้
0.49 ผลที่ได้
ไม่ชอบ
เหตุผลที่
4 มีนักเรียนเลือกจำนวน 72 คน
คิดค่าเฉลี่ยได้ 0.40 คิดค่า SD ได้
0.49 ผลที่ได้
ไม่ชอบ
5.7อภิปรายผลการวิจัย
ผลจากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิชาวิชาที่ชอบเรียนและไม่ชอบเรียนมากที่สุดของนักเรียนโรงเรียนบ้านหมอ
“พัฒนานุกูล” สามารถสรุปประเด็นสำคัญมาอภิปรายผลได้ดังนี้
1.ระดับวิชาที่นักเรียนชอบเรียนและไม่ชอบเรียน
1. ผลรวมทั้งหมดของวิชาที่ชอบของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย
3 ระดับดังนี้ ระดับที่ 1 วิชาพละศึกษา
ระดับที่
2 วิชาคณิตศาสตร์
ระดับที่
3 วิชาภาษาไทย
2. ผลรวมทั้งหมดของวิชาที่ไม่ชอบของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย
3 ระดับดังนี้
ระดับที่ 1 วิชาภาษาอังกฤษ
ระดับที่ 2 วิชาสังคมศึกษา
ระดับที่ 3 วิชาวิทยาศาสตร์
2.ผลกระทบ
สามารถสรุปผลกระทบวิชาที่ไม่ชอบได้ดังนี้
1.ต่อตนเอง
1.1.หากนักเรียนไม่ชอบเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งจะทำให้ผลการเรียนในวิชานั้นลดลง
1.2.นิสัยและทัศนคติต่อการเรียนของเด็กไม่ชัดเจน ทำให้ไม่ทราบว่าตัวเองชอบอะไร
ขาดเป้าหมายที่ ชัดเจนและความมุ่งมั่นของการเรียนรู้
1.3.เมื่อเรียนจบแล้วไปศึกษาต่อในลำดับที่สูงขึ้นที่มีความเกี่ยวเนื่องกับวิชาที่ไม่ชอบอาจทำให้ไม่เข้าใจวิชา นั้นๆส่งผลทำให้ผลการเรียนต่ำ
5.8 ข้อเสนอแนะ
1. นักเรียนต้องตั้งใจเรียนในทุกวิชา ไม่ควรสนใจเรียนในวิชาใดวิชาหนึ่งที่ตนเองชอบเท่านั้น
2. นักเรียนต้องมีความใส่ใจ กระตือรือร้นในการเรียนรู้ในรายวิชาที่เรียนให้มากขึ้นกว่าเดิม
3.
คุณครูควรหากิจกรรมนันทนาการให้นักเรียนทำในชั่วโมงเพื่อไม่ให้เกิดความน่าเบื่อในห้องเรียน
สร้าง บรรยากาศในห้องเรียนให้น่าเรียนมากยิ่งขึ้น
4. คุณครูควรสอนเนื้อหาให้ตรงและสอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ในรายวิชาเพื่อที่ได้ผลการเรียนรู้ที่ตรงกับ วัตถุประสงค์
5. โรงเรียนควรส่งเสริมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนให้มีความน่าสนใจและมีความหลากหลายด้านการเรียนรู้มากขึ้น
บรรณานุกรม
ความรู้.[ออนไลน์].แหล่งที่มา.http://th.wikipedia.org/wiki/
ตัวอย่างงานวิจัย การเขียนโครงร่างการวิจัย.[ออนไลน์].แหล่งที่มา
:http://www.blog.eduzones.com
ทฤษฎีการเรียนรู้.[ออนไลน์].แหล่งที่มา:
http://th.wikipedia.org/wiki/
นักเรียน.[ออนไลน์].แหล่งที่มา:
http://th.wikipedia.org/
วิชา.[ออนไลน์].แหล่งที่มา:
http://th.wikipedia.org/wiki
สูตรคณิตศาสตร์.[ออนไลน์].แหล่งที่มา:http:// myfirstbrain.com/student2_10.aspx